วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตับอักเสบ

ตับอักเสบจากไวรัสชนิดเรื้อรัง
ตับอักเสบชนิดเรื้อรัง หมายถึง ภาวะที่มีการอักเสบของตับเป็นเวลานานเกิน ๖ เดือนขึ้นไป โดยการตรวจเลือดพบมีร่องรอยของการอักเสบ (เอนไซม์ตับ ได้แก่ สารเคมีที่มีชื่อว่า เอเอสที และเอแอลที ขึ้นสูงกว่าปกติ)
        สาเหตุอาจเกิดจากพิษสุราเรื้อรัง พิษจากยาหรือสมุนไพรบางชนิด การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ภาวะไขมันเกาะตับ (ในผู้ที่เป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อ้วน) หรือเกิดจากภาวะภูมิต้านตนเอง
        อันตรายของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็คือ มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
        ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ซึ่งสามารถป้องกัน และ/หรือลดอันตรายลงได้

ชื่อภาษาไทย   
ตับอักเสบจากไวรัสชนิดเรื้อรัง, ตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัส

ชื่อภาษาอังกฤษ   
Chronic Viral Hepatitis

สาเหตุ   
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี (hepatitis B virus) หรือชนิดซี (hepatitis C cirus) เชื้อทั้ง ๒ ชนิดนี้ มีลักษณะการติดต่อเหมือนกับเชื้อเอชไอวี คือ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ ๓ ทาง ได้แก่
• โดยทางเลือด เช่น การได้รับเลือดจากผู้ติดเชื้อ การใช้อุปกรณ์ที่ปนเปื้อนเลือดของผู้ติดเชื้อในการฉีดยา (เช่นใช้เข็มร่วมกันในการฉีดยาเสพติด) ฝังเข็ม สักตามร่างกาย  หรือทำฟัน
• โดยทางเพศสัมพันธ์ ทั้งชายกับหญิง และชายกับชาย
• โดยการติดต่อจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นขณะคลอด สตรีที่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย (เลือดและตับ) เช่น เป็นพาหะของโรคนี้ สามารถถ่ายทอดเชื้อให้ลูกได้มากกว่า ๑ คน (เมื่อตรวจพบคนใดคนหนึ่งมีเชื้ออยู่ แพทย์มักแนะนำให้ตรวจเลือดพี่น้องทุกคน ดูว่าติดเชื้อจากมารดาหรือไม่ จะได้หาทางให้การดูแลที่เหมาะสมต่อไป)
        เมื่อคนเราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี อาจเกิดผลได้อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
• มีภูมิคุ้มกันโรคเกิดขึ้น เชื้อถูกขจัดไป ไม่เป็นโรค ไม่เป็นพาหะ นับว่าปลอดภัยแล้ว
•  กลายเป็นโรคตับอักเสบ (จากไวรัส) ชนิดเฉียบพลัน (acute viral hepatitis)  ซึ่งในที่สุดอาจหายขาด (มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น และเชื้อหมดไปจากร่างกาย) หรืออาจกลายเป็นตับอักเสบ (จากไวรัส) ชนิดเรื้อรังก็ได้
• กลายเป็นพาหะของโรคนี้ กล่าวคือ ร่างกายไม่อาจสร้างภูมิคุ้มกัน เชื้อยังอยู่ในร่างกายได้นานนับสิบๆ ปี หรือตลอดชีวิต บางรายอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังในโอกาสต่อมา  หรืออาจกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับแทรกซ้อนในที่สุดก็ได้

อาการ   
        ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดงใดๆ ให้ผู้ป่วยรู้สึก จนกว่าจะเกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับแทรกซ้อน หรือบางรายอาจไม่มีอาการแต่ตรวจเลือดพบโดยบังเอิญขณะไปขอตรวจเช็กสุขภาพ
        ส่วนน้อย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มีประวัติเป็นตับอักเสบเฉียบพลันหรือโรคดีซ่านมาก่อน) อาจมีอาการของตับอักเสบเรื้อรัง ได้แก่ รู้สึกอ่อนเพลีย ซึ่งมักจะเป็นมากขึ้นตอนบ่ายๆ เย็นๆ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ต่ำๆ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ท้องอืดเฟ้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เป็นต้น ในระยะนี้ผู้ป่วยมักจะยังไม่มีอาการน้ำหนักลด และในระยะท้ายที่เป็นตับแข็งและมะเร็งตับแทรกซ้อน ก็จะมีอาการอ่อนเพลีย ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) น้ำหนักลด ท้องบวม เท้าบวม

การแยกโรค
        ในรายที่มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้  ท้องอืดเฟ้อ ปวดข้อ ควรแยกสาเหตุอื่นๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น วัณโรคปอดและเอดส์ (ซึ่งมักมีไข้เรื้อรังร่วมกับเบื่ออาหารและน้ำหนักลด) โรคกระเพาะ (มีอาการแสบลิ้นปี่เวลาหิว จุกแน่นเวลากินอิ่มใหม่ๆ) โรคข้อ (ปวดข้อ) เป็นต้น
        อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านั้นเรื้อรังนานเกิน ๑-๒ สัปดาห์ ก็ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ใจ

การวินิจฉัย   
        แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี และตรวจพบเอนไซม์ตับ (เอเอสที และ เอแอลที) สูงเกินปกติ
        บางรายแพทย์อาจจำเป็นต้องใช้เข็มเจาะตับนำตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจ

การดูแลตนเอง

         ผู้ที่มีพี่หรือน้องเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสหรือเป็นพาหะของโรคนี้ หรือมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้ ท้องอืดเฟ้อ ปวดข้อ นานเกิน ๑-๒ สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดว่ามีเชื้อไวรัสบีหรือซีแฝงอยู่หรือไม่ หรือเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือไม่
         เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดเรื้อรัง ก็ควรปฏิบัติดังนี้
๑. ไปพบแพทย์ตามนัด และรับการรักษารวมทั้งกินยา ฉีดยา ตามแพทย์สั่ง ซึ่งบางครั้งอาจต้องใช้ยานานเป็นแรมปี หรือตลอดไป
๒. ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
๓. ห้ามบริจาคเลือด
๔. หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด และแปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น
๕. ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไม่ให้แพร่ให้ผู้อื่น (ยกเว้นผู้ที่ตรวจพบภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสบีและซี)
๖. ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิดอาจมีพิษต่อตับ ทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้นได้
ส่วนผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นพาหะ ก็ควรปฏิบัติตัว (ดังในข้อ ๒-๖ ดังกล่าว) และไปพบแพทย์ทุก ๖-๑๒ เดือนเพื่อตรวจเช็กสุขภาพเช่นเดียวกับผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง

การรักษา   
         แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสเพื่อขจัดเชื้อ โดยมักจะให้กินเป็นแรมปีหรือตลอดไป และบางรายอาจให้ฉีดยาอินเตอร์เฟรอน (interferon ซึ่งเป็นสารภูมิต้านทานไวรัส)
         แพทย์จะนัดผู้ป่วยติดตามผลการรักษาทุก ๓-๖ เดือน ซึ่งจะทำการตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดปริมาณเชื้อว่าลดลงมากน้อยเพียงใด ตรวจวัดระดับเอนไซม์ตับ (เอเอสที และเอแอลที) ว่าลดลงสู่ระดับปกติ (หายอักเสบ) แล้วหรือไม่ ตรวจระดับสารแอลฟาฟีโทโปรตีน (alphafetoprotein} AFP) ว่าสูงกว่าปกติ (บ่งชี้ว่าอาจมีมะเร็งตับเกิดขึ้น)
         นอกจากนี้ อาจถ่ายภาพตับด้วยอัลตราซาวนด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ดูว่ามีตับแข็งหรือก้อนมะเร็งตับก่อตัวขึ้นหรือยัง
         การติดตามผลและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิดดังกล่าว มีส่วนช่วยให้สามารถค้นพบมะเร็งตับระยะแรกเริ่ม ซึ่งมีวิธีเยียวยาให้หายขาดได้ โดยการฉีดสารเคมีเข้าไปที่ก้อนมะเร็งโดยตรง ทำให้ได้ผลดีและไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง

ภาวะแทรกซ้อน
         ที่สำคัญ คือ ตับแข็ง และมะเร็งตับ ซึ่งถ้าตรวจพบช้าไป ก็อาจหมดทางเยียวยารักษาได้

การดำเนินของโรค
         หากไม่ได้รับการรักษา (โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีอาการและไม่เคยตรวจเช็กเลือด) ก็อาจใช้เวลานาน ๒๐-๓๐ ปีขึ้นไป ที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ตับแข็ง และมะเร็งตับ
         ส่วนผู้ที่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ตับอักเสบทุเลา และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง หรือหากป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งตับ การเฝ้าติดตามตรวจกับแพทย์ทุก ๓-๖ เดือน ก็จะช่วยให้ค้นพบมะเร็งตับระยะแรกเริ่ม นำไปสู่การเยียวยาให้หายได้

การป้องกัน
๑. ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งปัจจุบันมีการฉีดให้ตั้งแต่แรกเกิด ส่วนผู้ที่ไม่เคยฉีดมาก่อน หากเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือสัมผัสถูกเลือด มีสามีหรือภรรยาเป็นพาหะหรือโรคนี้ มีพฤติกรรมเสี่ยง (เช่น รักร่วมเพศระหว่างชายกับชาย ชอบเที่ยวกลางคืน หรือมีเพศสัมพันธ์แบบเสรี)
๒. ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ทราบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีหรือยัง ก็ควรใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน
๓. ไม่ใช้เข็มฉีดยา มีดโกน และแปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น
๔. หลีกเลี่ยงการสักตามตัว การฝังเข็ม ถ้าจะทำก็ควรมั่นใจว่าอุปกรณ์ที่ใช้สักมีความปลอดภัยสูง (คือ ไม่ใช้ซ้ำกับผู้อื่นและมีการทำให้ปราศจากเชื้ออย่างถูกต้อง)

ความชุก
         โรคนี้พบได้ค่อนข้างบ่อย  ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวเพราะไม่มีอาการ
         ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดซี
         พบว่าร้อยละ ๗๕ ของผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสชนิดซี และร้อยละ ๕-๗ ของผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสชนิดบี จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังตามมา
 (จากหมอชาวบ้าน)
ภัยเงียบ! จากโรคตับอักเสบไวรัสซี

เชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบมีอยู่มากชนิด แต่ที่วงการแพทย์ค้นพบและมีชื่อเรียกแน่นอนแล้ว ก็คือ ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ บี ซี ดี จี อี ทีที และเซนไวรัส และทั้งหมดนี้ชนิดที่พบบ่อยที่สุดในบ้านเรา ได้แก่ ไวรัสชนิดเอ บี และซี แต่ที่ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง และทำลายเซลล์ตับจนเป็นโรคตับแข็งหรือโรคมะเร็งตับ ได้แก่ ไวรัสชนิดบีและซี ส่วนใหญ่คนทั่วไปจะคุ้นหูกับชื่อไวรัสตับอักเสบเอและบี ส่วนไวรัสซีนั้นพูดถึงกันค่อนข้างน้อย ทั้งที่ความจริงแล้วไวรัสซีก็ร้ายพอๆ กับไวรัสบีนั่นแหละ แถมเป็นวายร้ายเงียบเสียด้วย เพราะมักไม่มีอาการให้สงสัย และกว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวบางทีก็สายเกินแก้ นี่คือ ภัยเงียบหรืออันตรายจากไวรัสตับอักเสบซีที่คนไม่ค่อยรู้

การแพร่ระบาดของโรค
ไวรัสตับอักเสบซีนับเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับชาติ ที่ต้องทำความเข้าใจและรู้วิธีป้องกัน เพราะตามตัวเลขที่คาดคะเนกันในวงการแพทย์ ณ ปัจจุบันนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไปแล้วทั่วโลกประมาณ ๑๗๐ ล้านคน และในประเทศไทยเอง ไวรัสตับอักเสบซีก็จัดเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับประเทศที่พบบ่อยเช่นกัน มีการประเมินกันว่าคนไทยวันนี้ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไปแล้วประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากพอสมควร และทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มติดยาเสพติดที่ใช้เข็มร่วมกัน

ไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อได้อย่างไรเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะอาศัยอยู่ในเลือด และน้ำคัดหลั่งในร่างกาย เช่น น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด มีการติดต่อสู่ผู้อื่นคล้ายกับไวรัสตับอักเสบบีและโรคเอดส์ เช่น
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ในพวกเสพสารเสพติด
  • การใช้เข็มที่ติดเชื้อโรคสักผิวหนัง เจาะหู ฝังเข็ม
  • การใช้ของส่วนตัวที่เปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน หรือกรรไกรตัดเล็บ
  • ติดต่อจากการทำฟัน
  • จากการมีเพศสัมพันธ์ (ติดได้แต่น้อยกว่าโรคเอดส์มาก)
  • แม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ ก็สามารถแพร่เชื้อไปสู่ลูกได้เมื่อคลอด (ติดได้แต่พบน้อย)
ส่วนใหญ่การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จะเกิดจากทางเลือดมากกว่าติดต่อทางเพศสัมพันธ์
อาการของโรคตับอักเสบไวรัสซี
โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสจะมีอาการคล้ายๆ กัน คือ ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่มีแรง บวม มีน้ำในช่องท้อง การที่จะแยกอาการว่าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใดกันนั้น ต้องใช้วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงจะทราบ แต่ที่น่าสังเกตคือโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดอื่นๆ มักจะเป็นแบบเฉียบพลัน และควรจะหายได้ภายในเวลา ๖ เดือน ถ้าหากมีอาการของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ก็มักจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่หลังติดเชื้อแล้วภายในเวลา ๑๐ ปีแรกจะไม่มีอาการอะไรเลย ยกเว้นส่วนน้อยที่อาจมีอาการของโรคแบบเฉียบพลัน ต่อเมื่อย่างเข้าสู่ ๑๐ ปีที่ ๒ ก็อาจเริ่มมีอาการของตับอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้น และเมื่อ ๓๐ ปีผ่านไป ตับจะถูกทำลายมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการของตับแข็งปรากฏให้เห็น หรือเป็นโรคตับแข็ง แล้วผู้ป่วยจำนวนหนึ่งก็จะเป็นมะเร็งตับ เรียกว่ากว่าจะแสดงอาการก็ใช้เวลาหลายสิบปี โดยที่โรคจะดำเนินไปอย่างช้าๆ ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีโรคอันตรายซ่อนแฝงอยู่ ถ้าไม่ได้ตรวจเลือด ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ อาจหายจากโรคได้เอง แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๕-๘๕ จะเป็นเรื้อรัง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาก็จะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด



การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซียังไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนไวรัสชนิดเอและบี ดังนั้น พื้นฐานการรักษาทั่วไป ก็คือ การทำร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายได้บ้างตามสมควร ตามแต่ระยะของโรค ไม่วิตกกังวลหรือเครียดกับอาการเจ็บป่วยจนเกินไป เพราะบางครั้งความคิดในเชิงลบ ก่อให้เกิดโทษภัยมากกว่าตัวเชื้อโรคเสียอีก แล้วถ้าเชื้อไวรัสคุกคามทำลายเนื้อตับจนเกิดการอักเสบ ก็ต้องรักษาโดยการกินยา ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีที่ได้ผลมีอยู่ ๒ ชนิด ชนิดแรก คือ ยาต้านไวรัส ชนิดที่สองได้แก่ ยาอินเตอร์เฟอรอน ซึ่งยาทั้ง ๒ ชนิดนี้มีราคาแพงมาก (เป็นหลักแสน) การรักษาจะใช้เวลาประมาณ ๖-๙ เดือน และเนื่องจากยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงมาก ดังนั้น การใช้ยาจึงต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การรักษาที่ถูกต้องด้วยยาที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน สามารถทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งหายขาดจากโรคได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีให้หายได้ทั้งหมดทุกคน แต่โดยภาพรวมผลของการรักษาไวรัสตับอักเสบซีก็ดีกว่าไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งการรักษาจะช่วยยืดอายุของผู้ป่วยให้อยู่ได้นานขึ้น ดีกว่าไม่รู้และไม่รักษา

การป้องกันโรคตับอักเสบไวรัสซี
การป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุดก็เหมือนกับการป้องกันโรคเอดส์ คือ ไม่ใช้ของมีคมหรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือมีการให้เลือดโดยไม่ได้ตรวจ ซึ่งหากระมัดระวังอย่างดี นอกจากจะปลอดภัยจากโรคตับอักเสบบีและซีแล้ว ยังปลอดภัยจากโรคเอดส์ด้วย

การกินอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคตับ
การดูแลในเรื่องอาหารการกินอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคตับฟื้นจากอาการเจ็บป่วยเร็วขึ้น ผู้ป่วยโรคตับจำเป็นต้องกินอาหารคาร์โบไฮเดรตสูง เพื่อเสริมสร้างพลังงานที่บกพร่องไป และควรเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดมีกากใยสูงที่ไม่ขัดสี ประเภทข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เผือก มัน ฟักทองจะดีที่สุด รวมทั้งผลไม้ต่างๆ และควรแบ่งการกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายๆ มื้อ (๔-๖ มื้อ) เพื่อลดการทำงานของตับ อาหารโปรตีนพวกเนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ ในปริมาณที่มากกว่าปกติ จะช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ของตับ

เดิมเชื่อกันว่าผู้ป่วยโรคตับอักเสบควรดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยหายอ่อนเพลีย ปัจจุบันแพทย์ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหวานแล้ว เพราะการกินน้ำตาลมากๆ ทำให้ตับต้องทำงานเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยควรงดอาหารประเภททอด อาหารมัน เพื่อลดการทำงานของตับ เนื่องจากตับมีหน้าที่ผลิตน้ำดีออกมาย่อยอาหารประเภทไขมัน ดังนั้น เมื่อตับอยู่ในภาวะอักเสบ ก็ควรให้ตับได้พักหรือทำงานน้อยลง ในบางรายที่จำเป็นต้องกินอาหารประเภทไขมัน แพทย์อาจจะให้ไขมันชนิดพิเศษแก่ผู้ป่วย ไม่ควรกินอาหารประเภทสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะอาหารทะเลทั้งหลาย เพราะถ้ามีการติดเชื้อหรืออาหารเป็นพิษ อาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยที่มีอาการบวม ควรกินอาหารรสจืดกว่าปกติ งดอาหารประเภทหมักดอง อาหารกระป๋อง หรืออาหารสำเร็จรูปต่างๆ เพราะอาหารเหล่านี้จะมีเกลือโซเดียมสูง ดื่มน้ำมากๆ ประมาณวันละ ๑๐-๑๕ แก้ว

คำแนะนำในการปฏิบัติตัว
  • พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ควรทำงานหนักถ้ามีอาการอ่อนเพลียมาก
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดอย่างเด็ดขาด
  • งดกินยาที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น ยาลดไข้และยาแก้ปวดพาราเซตามอล
  • ใช้ช้อนกลาง และเครื่องใช้ส่วนตัวออกจากผู้อื่น
  • ล้างมือหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ไปพบแพทย์ตามนัด
  • ทำจิตใจให้สบาย อย่าวิตกกังวลหรือมีความเครียดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาการเจ็บป่วยของตนเอง
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่เป็นพาหะ
  • ในกรณีของผู้ที่เป็นพาหะหรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จากการตรวจเลือด โดยที่ร่างกายยังแข็งแรง ก็ควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตัวดี เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง เพราะถ้าปล่อยไปถึงขั้นนั้นก็จะเสี่ยงกับอันตรายมากขึ้น และการรักษาก็ยุ่งยากมากขึ้นด้วยเช่นกัน
  • ผู้ติดเชื้อสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • สามารถออกกำลังกายประเภทเบาๆ ได้ ยกเว้นการออกกำลังกายชนิดที่ต้องหักโหมหรือตรากตรำทำงานหนัก
  • ไม่ควรอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักสำหรับสุภาพสตรี เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและขาดอาหาร
  • งดการบริจาคเลือด เพราะเชื้อในเลือดจะติดต่อไปสู่ผู้อื่น
  • ตรวจเลือดเป็นระยะๆ (ทุก ๓-๖ เดือน) ตามที่แพทย์นัด เพื่อเฝ้าดูการดำเนินของโรคว่าไปถึงขั้นไหน
ปัจจุบันไวรัสตับอักเสบซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การมีสุขภาพแข็งแรงเป็นความโชคดีของชีวิต ดังนั้น ทุกคนจึงควรรักษาสุขภาวะของตนเองเอาไว้ให้นานที่สุด เพราะการเจ็บป่วยไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดย่อมทำให้เกิดความทุกข์ใจ แล้วยิ่งหากเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และเป็นโรคอันตราย ก็ยิ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวลและความเครียด วิธีที่ดีที่สุด คือ การป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บป่วยจากทุกโรค

หน้าที่และความสำคัญของตับ
ตับเป็นอวัยวะในร่างกายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีอันเดียว และมีความสำคัญมากต่อการทำงานของร่างกาย เช่น ควบคุมระบบการเผาผลาญสารอาหาร และเปลี่ยนอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นพลังงาน (สำหรับใช้ในการเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ) เก็บสะสมพลังงานส่วนเกิน (ที่กินเข้าไปมาก แล้วใช้ไม่หมด) ไว้ในรูปของไกลโคเจน เพื่อเป็นพลังงานสำรองเอาไว้ในยามจำเป็น สร้างสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และวิตามินต่างๆ ที่ร่างกายต้องใช้ในการทำงานช่วยผลิตน้ำดีซึ่งจำเป็นต่อการย่อยอาหารประเภทไขมัน ผลิตและควบคุมการทำงานของโคเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ ผลิตสารโปรตีนในเลือดและเอนไซม์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ควบคุมการทำงานของฮอร์โมน ผลิตสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด กำจัดของเสียหรือสารพิษทุกชนิดที่เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อากาศที่หายใจเข้าไป แอลกอฮอล์ สารพิษจากยา ทุกอย่างจะต้องผ่านกระบวนการกรองสารพิษโดยการทำงานของตับ ตับจึงเปรียบเสมือนโรงงานที่ขจัดของเสีย และสารพิษที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ดังนั้น ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นที่ตับ จะด้วยจากสาเหตุใดก็ตามก็จะเกิดผลกระทบต่อหน้าที่ทั้งหมดในร่างกาย

โรคของตับ
โรคที่ทำร้ายตับมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยในคนทั่วไปคือ โรคตับแข็ง ซึ่งเป็นภาวะที่ตับได้รับอันตราย จึงพยายามที่จะซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งในขบวนการดังกล่าวเนื้อเยื่อที่ตับสร้างขึ้นมาใหม่จะมีลักษณะผิดไปจากเดิม นั่นคือ มีแผลเป็นหรือพังผืดขึ้นมาแทนที่ ทำให้เนื้อตับดูแข็งขึ้น การทำงานของตับจะลดประสิทธิภาพลง ตับแข็งเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่การรักษาที่ถูกต้องและการปฏิบัติตัวดีของผู้ป่วย จะทำให้อาการของโรคโดยรวมดีขึ้น ถ้าไม่รักษาผู้ป่วยจะเสียชีวิตในที่สุด อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้วตับนับเป็นอวัยวะที่พิเศษอย่างหนึ่ง ที่แม้จะสูญเสียเนื้อตับหรือถูกตัดทิ้งไปบางส่วน ส่วนที่เหลือที่เป็นเนื้อตับที่ดีก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อไรที่เนื้อตับถูกทำลายไปมากกว่าร้อยละ ๘๐ นั่นหมายถึงภาวะที่เป็นอันตรายจนอาจถึงขั้นตับวาย สาเหตุที่ทำให้ตับแข็งมีหลายประการ ได้แก่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากๆ เป็นระยะเวลานาน เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรังโดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เป็นโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานทำงานมากเกินไป เป็นโรคท่อน้ำดีอุดตันเรื้อรัง เป็นโรคตับอักเสบที่เกิดจากยาและสารพิษ
ข้อมูล : ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางไวรัสตับอักเสบ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


โรคดีซ่าน ตับอักเสบ การพักผ่อน เป็นการรักษาที่ดีที่สุด
โรคตับอักเสบ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ดีซ่าน” เป็นโรคที่พบเสมอ ๆ ในประเทศเรา ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ กันคือ :-
1. จากเชื้อไวรัส
2. จากการกินเหล้า
3. จากสารเป็นพิษ โรคติดเชื้อและยาชนิดต่างๆ


1. ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส


เชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบมีหลายชนิด และเป็นสาเหตุของตับอักเสบที่พบบ่อยที่สุดจัดว่าเป็นปัญหาสำคัญยิ่งทางด้านสาธารณสุขของประเทศ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนี้เกิดขึ้นโดยการกินเข้าทางปากเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือผู้ป่วยกินอาหารที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบปนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารปรุงไม่สุก หรืออาหารทะเล ซึ่งเป็นแหล่งของเชื้อไวรัสตับอักเสบ นอกจากนั้นการเตรียมอาหาร ใช้ถ้วยชามที่ล้างไม่สะอาด ตลอดจนการอาศัยอยู่อย่างแออัดทำให้เชื้อตับอักเสบ แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และการประกอบอาชีพแพทย์และพยาบาลก็มีโอกาสจะติดเชื้อตับ อักเสบได้มากกว่าผู้อื่น เพราะจะต้องดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นโรคตับอักเสบอย่างใกล้ชิด
การติดเชื้อ อาจติดต่อทางการฉีดยา (โดยเฉพาะในพวกติดยาเสพติด) โดยการใช้เข็มที่ไม่สะอาดและปราศจากการฆ่าเชื้อ ที่ถูกกรรมวิธีทำให้เกิดโรคตับอักเสบขึ้นได้
นอกนั้นอาจได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบจากการให้เลือดที่มีเชื้อตับอักเสบตัวนี้อยู่หรือจากการสัมผัส เช่น การจูบกัน การร่วมเพศ เป็นต้น

ในประเทศไทย จากการสำรวจของศิริราชและสถาบันอื่น ๆ พบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในคนปกติที่ไม่มีอาการแต่อย่างใด ประมาณร้อยละ 10 คนพวกนี้ จึงเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ทำให้คนอื่น ๆ ติดโรคนี้ได้ง่ายหลังจากรับเชื้อไปแล้ว ประมาณ 2-12 อาทิตย์ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย มีไข้ต่ำ ๆ อยู่ 2-3 วันแล้วหายไปเอง โดยไม่มีอาการดีซ่านหรือตาเหลือง ตัวเหลืองให้เห็น ผู้ป่วยพวกนี้มักไม่ได้รับการวินิจฉัยโรค นอกจากแพทย์จะตรวจพบโดยบังเอิญ หรือพบในระยะที่มีการระบาดของโรคตับอักเสบ

ผู้ป่วยอีกจำพวกหนึ่งหลัง จากที่ไข้เริ่มลดลง จะเริ่มมีอาการตาเหลืองตัวเหลือง ในบางครั้งเพื่อน หรือญาติจะเป็นคนสังเกตเห็นก่อน ซึ่งชาวบ้านเราเรียกว่า ดีซ่าน ปัสสาวะสีเข้มเหมือนขมิ้น ตั้งทิ้งไว้จะเป็นฟอง เนื่องจากมีน้ำดี ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ส่วนใหญ่จะเหลืองอยู่ประมาณ 2-4 อาทิตย์ก็จะค่อย ๆ หายไป ในระยะนี้อาการเบื่ออาหารจะหายไปเริ่มกินอาหารได้ และรู้สึกแข็งแรงขึ้นอาการเพลียจะเริ่มหมดไประยะเหลืองนี้เองที่จะมีเชื้อไวรัสออกมาทางอุจจาระจำนวนมากๆซึ่งสามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้
ผู้ป่วยบางรายอาการเหลืองจะไม่หาย แต่กลับเหลืองขึ้น ๆ อุจจาระสีซีดลง ผู้ป่วยอาจมีอาการคัน เพลียมากขึ้น ปวดท้อง ท้องบวม ขาบวม สติสัมปชัญญะเลอะเลือน เพ้อ และใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ กว่าจะหายเป็นปกติ
                                        

                          
ผู้ป่วยบางคนจะมีอาการดีซ่านมาก ไข้สูง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการทางประสาท เพ้อ จำอะไรไม่ได้ มือสั่น ปัสสาวะสีเข้ม อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ คัน จ้ำขึ้นตามตัว กลิ่นหายใจหวานเอียน ๆ และถึงแก่ความตายในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากมีอาการอักเสบของตับอย่างรุนแรง จนตับทำงานไมได้ แต่ก็โชคดีที่ผู้ป่วยโรคตับอักเสบส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะเกิดอาการรุนแรง

เมื่อพูดถึงโรคตับ คนส่วนใหญ่จะนึกถึงตับแข็ง เพื่อนฝูงญาติมิตรจะนึกสรุปเอาเองว่าเกิดจากการกินเหล้า ความจริงกว่าตับจะแข็ง จะต้องมีการอักเสบก่อน ทำให้เกิดการทำลายเนื้อตับทีละน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา เนื้อตับที่เรียบจะมีพังผืดขึ้นมาแทนที่ ทำให้ตับเริ่มแข็งขึ้น ๆ ผิวตับมีลักษณะขรุขระ ตะปุ่มตะป่ำ การเปลี่ยนแปลงนี้กินเวลานาน 1-5 ปี จนทำให้ตับแข็งในที่สุด
สาเหตุของตับอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ มิใช่เกิดจากเหล้า ดังที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเกิน 3 เดือน ยังมีอาการเพลีย เบื่ออาหาร ตาเหลือง ปัสสาวะเหลืองจัดอยู่ในพวกตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยพวกนี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นตับแข็งได้มาก
ผู้ที่มีอาการดีซ่าน ถ้าหากมีไข้สูง หนาวสั่น ซีด ปวดท้องมาก อาเจียนมาก หรือซูบผอมลงมาก อาจเป็นโรคเลือด โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคมะเร็งของระบบทางเดินอาหารก็ได้ ควรไปหาหมอ ตรวจให้แน่นอน หมออาจต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์ หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ผู้ที่มีอาการดีซ่าน โดยไม่มีอาการซีด ซูบผอม หรือปวดท้องมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นในเด็กและคนหนุ่มคนสาว สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด ก็คือ โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส การดูแลรักษาก็คือ ให้พักผ่อนที่บ้าน ควรหยุดเรียนหรือหยดงาน ห้ามทำงานหนัก กินอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย ควรกินอาหารพวกแป้ง ของหวาน ๆ น้ำหวาน น้ำผลไม้ เพราะย่อยและดูดซึม ง่ายไม่ทำให้ท้องอืด การกินอาหาร มันจัดหรือเนื้อสัตว์ จะทำให้คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด ถ้าอาการคลื่นไส้ดีขึ้น อาจจะเปลี่ยนให้กินอาหารอื่นได้ ส่วนยานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ยาบำรุงตับหรือยาอื่นใดทั้งสิ้น
โรคนี้จะค่อย ๆ หายไปได้เอง ข้อสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติตัวดังกล่าว
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน กินอาหารไม่ได้ มีอาการเพลีย ตัวเหลืองมาก ควรจะต้องพักอยู่ในโรงพยาบาล โดยแพทย์จะให้น้ำเกลือและอาหารทางเส้นเลือด ตลอดจนให้ยาอื่น ๆ ที่จำเป็นในการแก้สารพิษที่เกิดจากตับเสีย และให้การรักษาแบบประคับประคองเพื่อรอให้ตับรักษาตัวมันเองให้ฟื้นคืนมา ในผู้ป่วยที่มีอาการบวม ควรงดอาหารเค็มด้วย

                           

การกลับทำงาน
การที่จะเข้าทำงานเมื่อไรนั้น แพทย์มักจะแนะนำให้ตัวหายเหลืองเสียก่อนจึงไปทำงานได้ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ต้องสังเกตอาการอ่อนเพลียอ่อนระโหย หมดแรง ฉะนั้นควรเริ่มกลับเข้าทำงานวันละน้อย ๆ ชั่วโมงก่อน ถ้าอาการเพลียอ่อนระโหยยังมีอยู่ ก็ควรหยุดจะหยุดพักต่อ แต่ถ้ากลับทำงานแล้วแข็งแรงดี ให้เพิ่มชั่วโมง ทำงานจนปกติ
การป้องกัน เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ได้จากการกินอาหาร ควรเลือกกินอาหารที่มีการปรุงถูกสุขลักษณะ สะอาด น้ำดื่มควรจะต้มให้เดือดเสียก่อน อย่ากินอาหารดิบ ๆ โดยเฉพาะอาหารทะเล
ผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบ ควรจะระมัดระวังการกินอาหารร่วมกับผู้อื่น ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง หลังการเข้าห้องน้ำ เสื้อผ้าเครื่องใช้อื่น ๆ อาจจะทำให้เกิดการติดต่อโรคได้ ต้องแยกทำความสะอาดต่างหาก ห้ามปะปนกับของคนอื่น และควรต้มด้วยน้ำเดือด นอกจากนี้ควรละเว้นการร่วมเพศ

ผู้ป่วยโรคตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน จะมีเชื้ออยู่ในอุจจาระประมาณ 1-2 เดือน ส่วนผู้ที่เป็นเรื้อรังหรือผู้เป็นพาหะของโรค จะมีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่เป็นเวลานาน ทำให้การป้องกันทำได้ลำบากมาก บุคคลที่อยู่ในครอบครัวอาจจะต้องมาฉีดยาป้องกันโยเฉพาะในรายที่เป็นอย่างเฉียบพลันเท่านั้น แต่ถ้าเป็นโรคเรื้อรังหรือผู้เป็นพาหะ ไม่แนะนำให้ฉีดยาป้องกันนี้ เพราะต้องฉีดทุก 4-6 เดือน และอาจเกิดแพ้ยาที่ฉีดได้ นอกจากนั้นเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วต้องต้มให้เดือดและนานพอที่จะฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบ
การรับบริจาคเลือดควรจะตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบในผู้บริจาคเลือดเสียก่อน ถ้าพบก็ไม่ควรรับบริจาค

2. ตับอักเสบจากการดื่มเหล้า

ตับอักเสบที่เกิดจากการดื่มเหล้า พบในผู้ป่วยที่ดื่มเหล้าอย่างน้อยวันละครึ่งขวดใหญ่ และเป็นเวลานานเกิน 10 ปี สาเหตุเนื่องจากเหล้าไปทำลายตับโดยตรง และขาดอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบจากเหล้า จะมีอาการเบื่ออาหาร เพลีย ไม่มีแรง เป็นเวลา 2-3 อาทิตย์ ต่อมาตาจะเหลือง มีไข้สูง ปวดท้อง โดยเฉพาะชายโครงขวา บางครั้งอาการปวดจะรุนแรง บางครั้งท้องบวม ขาบวม อาจมีอาการทางสมอง คือ เพ้อ เลอะเลือก ความจำเสื่อม

ผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบจากเหล้าควรงดดื่มเหล้าโดยเด็ดขาด ให้อาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายและพักผ่อนให้เพียงพอ อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้น ถ้าอาการหนักก็ควรพักอยู่ในโรงพยาบาลให้การรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบจากเชื้อไวรัสตับอักเสบถ้าผู้ป่วยยังกินเหล้าไม่หยุดจะเกิดอักเสบบ่อย ๆ ทำให้ตับถูกทำลายบ่อย ๆ ในที่สุดก็จะกลายเป็นตับแข็ง


3. ตับอักเสบจากสาเหตุอื่น ๆ


ตับอักเสบอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ นอกจากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ และกินเหล้า สาเหตุที่พบบ่อยคือ จากการกินยา เช่น ยารักษาวัณโรค ยาลดความดัน ยาดมสลบ ยาถ่าย ฯลฯ กล่าวคือ หลังจากกินยาหรือให้ยาแก่ผู้ป่วยจะเกิดอาการตัวเหลืองตาเหลือง เป็นไข้, เพลีย, เบื่ออาหาร ในพวกที่มีอาการรุนแรงจะหมดสติ และถึงแก่ความตายได้ เพราะฉะนั้นในผู้ป่วยที่มีประวัติกาแพ้ยา ควรจะให้ยาด้วยความระวัง

ในอวัยวะต่าง ๆ ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อชนิดต่าง ๆ เช่น ปอดบวม มีโพรงหนองในส่วนต่าง ๆ เชื้อแบคทีเรียจะกระจายมาตามหลอดเลือด และอาจจะมีการแพร่กระจายเชื้อมาที่ตับ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้

สารเป็นพิษ มีสารเคมีหลายชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตน้ำมัน ผงซักฟอก และในยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหนู เมื่อผู้ป่วยได้รับเป็นจำนวนมาก ก็อาจทำให้เกิดตับอักเสบขึ้นได้เช่นกัน โดยมีอาการแยกกันยากจากสาเหตุอื่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

การรักษาคือ การกำจัดสาเหตุของตับอักเสบ และให้การรักษาแบบประคับประคองเพราะในขณะนี้ยังไม่มียาตัวใด ที่สามารถช่วยตับให้หายดีขึ้น นอกจากจะให้เวลาตับฟื้นคืนตัวขึ้นมาเอง โดยที่แพทย์จะให้การรักษาพยาบาลโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง (หมอชาวบ้าน)

ไวรัสตับอักเสบในทรรศนแพทย์แผนจีน
ไวรัสตับอักเสบในทรรศนะแพทย์แผนจีน

ตำราแพทย์จีนโบราณ ไม่มีเรื่องของตับอักเสบจากเชื้อไวรัส เพราะไม่สามารถแยกแยะสาเหตุว่าการอักเสบของตับมาจากเชื้อไวรัสชนิดใด นอกจากนี้ การเกิดปัญหาเกี่ยวกับโรคตับ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับตัวตับโดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น การปวดแน่นชายโครง ภาวะตับอุดกั้น ตับร้อนทำให้หงุดหงิด ถุงน้ำดี ตับร้อนชื้น ก็จะถูกเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันไปหมด โรคที่เกี่ยวกับตับจึงมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาการ "ปวดชายโครง" "อารมณ์อุดกั้น"  "ภาวะร้อนชื้น"  "ภาวะก้อนของตับ" "ภาวะดีซ่าน"
หน้าที่ของตับตามทรรศนะแพทย์แผนจีน
๑. ตับเก็บเลือด และควบคุมปริมาณเลือด
๒. ตับทำหน้าที่ระบายและปรับการไหลเวียนและพลัง
๓. ตับควบคุมอารมณ์และจิตใจ
๔. ตับขับเคลื่อนการไหลเวียนเลือด และพลัง และการลำเลียงน้ำในร่างกาย
๕. ตับเปิดทวารที่ตา

หน้าที่ของตับที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคตับอักเสบ คือ ภาวะการอุดกั้นของตับ ทำให้การไหลเวียนเลือดและพลังติดขัด ทำให้มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ รวมถึงการทำงานของระบบม้ามและกระเพาะอาหาร (ไม้ข่มดิน-ตับแกร่งข่มม้าม) หรือในทางกลับกัน การหงุดหงิด จิตใจหดหู่ เครียด โมโห จะมีผลต่อการทำงานของตับโดยตรง เกิดพลังและเลือดอุดกั้น (สารพิษในร่างกายมาก ตับทำหน้าที่ขับพิษได้น้อยลง ตับทำหน้าที่มากขึ้น) ระบบการย่อยอาหารที่สะสมความร้อนชื้นมากจะมีผลต่อความร้อนชื้นของระบบตับ-ถุงน้ำดีได้ การที่เกิดความร้อนชื้น หรือพลังอุดกั้นจากอารมณ์นานๆ จะทำให้เกิดก้อนหรือการอักเสบภายในตับได้ เพราะเกิดความร้อนและการไหลเวียนติดขัดเกิดเลือดคั่งค้าง
การแบ่งไวรัสตับอักเสบตามทรรศนะแพทย์แผนจีน
๑. ชนิดเฉียบพลัน - แบบมีภาวะดีซ่าน คือมีตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง
   - แบบไม่มีภาวะดีซ่าน คือมีอาการปวดชายโครง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เป็นหลัก

๒. ชนิดเรื้อรัง คือ มีอาการคลื่นไส้ ปวดชายโครง ท้องอืดแน่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด มีก้อน (กลุ่มเฉียบพลันไม่มีอาการกับกลุ่มเรื้อรัง มีการรักษาคล้ายคลึงกัน)
สาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบ
  • ชนิดเฉียบพลันมีภาวะดีซ่าน  มักเกี่ยวข้องกับอารมณ์ จิตใจ ที่อุดกั้นทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อตับ อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ (การปนเปื้อน) ทำให้พลังตับอุดกั้น การย่อยดูดซึมอาหารไม่ดี ตับ ถุงน้ำดีกระทบความร้อนชื้นและพิษ เกิดการอุดกั้นทำให้น้ำดีทะลักเข้าสู่ระบบเลือด เกิดภาวะดีซ่าน
  • ชนิดเฉียบพลันไม่มีดีซ่าน มักเกิดจากความร้อนชื้นสะสม ทำให้มีการอุดกั้นเป็นหลัก ส่วนสาเหตุที่เกิดจากม้ามพร่องทำให้ความชื้นอุดกั้นมักเป็นส่วนน้อย
  • ชนิดเรื้อรัง มักเกิดจากโรคตับอักเสบชนิดเฉียบพลันที่เชื้อไม่ถูกกำจัดออกจากร่างกาย (ความร้อนชื้นตกค้าง) หรือเกิดเลือดและพลังอุดกั้น ทำให้ตับและม้ามเสียสมดุล ตับอุดกั้นเกิดความร้อน เลือดคั่งค้าง ม้ามทำงานน้อยลง เกิดความชื้น นานเข้าในที่สุดเกิดเลือดพร่อง ยินพร่อง พลังพร่อง

การแยกประเภทตับอักเสบ
๑. ตับอักเสบเฉียบพลันที่มีภาวะดีซ่าน
๑.๑ ดีซ่านแบบหยาง : ตัวเหลือง ตาเหลือง สีเหลืองสดใส ตัวร้อน กระหายน้ำ ปวดแน่นชายโครงข้างขวา คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย อุจจาระแห้ง ปัสสาวะเข้ม ฝ้าบนลิ้นเหลืองเหนียว ชีพจรตึงเร็ว หรือลื่นและเร็ว

หลักการรักษา ขับร้อน-ขับพิษ ระบายการอุดกั้นของตับสลายดีซ่าน
ตำรับยา อิน เฉินเฮาทัง
๑.๒ ดีซ่านแบบยิน  : สีเหลืองขุ่นมัว อ่อนเพลีย ไม่มีชีวิตชีวา กลัวหนาว เบื่ออาหาร ท้องแน่น อุจจาระเหลว ตัวลิ้นซีด ฝ้าเหนียว ชีพจรลึกช้า
หลักการรักษา บำรุงกระเพาะอาหารม้าม ให้ความอบอุ่นสลายความเย็นชื้น
ตำรับยา อิน-เฉิน อู่ หลิง ซ่าน
๑.๓ ดีซ่านแบบเฉียบพลัน : ตาเหลือง ตัวเหลือง สีเหลืองค่อนแดง มีไข้สูง กระหายน้ำ แน่นหน้าอก ปวดชายโครง เอะอะโวยวาย เป็นลมหมดสติ ชักกระตุก เลือดกำเดาออก รายที่เป็นมากมีอาการบวมหรือท้องมาน ลิ้นแดงฝ้าเหนียว ชีพจรตึงเร็ว หรือตึงลื่น (อาการหมดสติเกิดจากพิษเข้าสู่เยื่อหุ้มหัวใจ เข้าเส้นตับ เกิดลมเคลื่อนไหวภายใน)
หลักการรักษา ขับพิษ-ขับร้อน ทำให้เลือดเย็น ระบายชื้นเปิดทวาร
ตำรับยา ซี-หนิว-ตี้-หวง-ทัง
๒. ตับอักเสบเฉียบพลันที่ไม่มีภาวะดีซ่านและชนิดเรื้อรัง
๒.๑ ภาวะตับร้อนพลังอุดกั้น : เริ่มต้นอาการหงุดหงิด ร้อนรุ่มภายใน หรือครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดแน่นท้อง ชายโครง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ตัวลิ้นแดง ฝ้าเหลืองเหนียว ชีพจรตึงใหญ่
หลักการรักษา ขับร้อน-ขับพิษ ระบายตับสลายเลือดอุดกั้น
ตำรับยา เจี๋ย ตู๋ ซู กาน จือ ท่ง ฮว่า อี ทาง
๒.๒ ตับม้ามไม่สมดุล : อาการปวดชายโครง เบื่ออาหาร ปวดแน่นหลังกินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง ฝ้าเหนียว ชีพจรตึง
หลักการรักษา เสริมม้าม ระบายตับ
ตำรับยา เซี่ยว-โหยว-ซ่าน
๒.๓ ม้ามอ่อนแอพลังพร่อง : อาการใจสั่น หายใจสั้น อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก แน่นท้อง ปวดชายโครง เบื่ออาหาร อุจจาระเหลว ใบหน้าขาวซีด ปวดแน่นชายโครง ลิ้นซีดมีรอยฟันหยัก ฝ้าขาวเหนียว ชีพจรตึง, เล็ก ไม่มีกำลัง
หลักการรักษา บำรุงพลังเสริมม้าม ระบายตับสลายการอุดกั้นของเลือด
ตำรับยา ปู่ ชี่ เจี้ยน ผี ฮว่า อี ทาง
๒.๔ ยินพร่อง : อาการใจสั่น หายใจสั่น อ่อนเพลียไม่มีแรง นอนไม่หลับ ฝันบ่อย ปวดเมื่อยเอว เวียนศีรษะ น้ำกามเคลื่อน เบื่ออาหาร ปวดชายโครงแบบตื้อๆ ตัวลิ้นแดง ชีพจรตึงเล็กเร็ว
หลักการรักษา บำรุงยินเสริมม้าม ระบายตับสลายการอุดกั้นของเลือด
ตำรับยา จือ ยิน เจี้ยน ผี ซู กาน ฮว่า อี ทาง
สรุป ไวรัสตับอักเสบตามทรรศนะแพทย์แผนจีน ไม่ได้แยกแยะว่าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใด เป็นไวรัสชนิดเอ ไวรัสชนิดบี ไม่ใช่เอหรือบี หรือไวรัสชนิดซี เป็นต้น แต่มีความหมายครอบคลุมถึงภาวะดีซ่าน ภาวะเจ็บชายโครง ก้อนของตับ (ภาวะเลือดอุดกั้น) ภาวะร้อนชื้นของตับและถุงน้ำดี ซึ่งโดยทั่วไปโรคของตับจะมีปัญหาระบบการย่อยอาหารร่วมด้วย เช่น ท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
โรคตับเกี่ยวข้องกับอารมณ์ จิตใจที่หงุดหงิด โมโห โกรธเครียดเรื้อรัง เกี่ยวข้องกับอาหารการกินที่สะสมไม่ย่อย เกิดความร้อน หรือได้รับเชื้อที่ไม่สะอาด เกิดจากการทำลายตับอย่างเรื้อรัง จนทำให้พลังการไหลเวียนและเลือดไม่คล่องตัว เกิดการสะสมพิษในร่างกาย โรคของตับรวมถึงไวรัสตับอกักเสบ การรักษาจะเน้นที่การขับพิษ-ขับร้อน ระบายตับ เสริมม้าม ทำลายการอุดกั้น (สลายการอุดกั้นของเลือด) ถ้ามีดีซ่านก็จะขับระบายดีซ่านเพิ่ม
ข้อคิดในการรักษาหรือดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นพาหะ ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดก้อนในตับ ไม่ว่าจะเป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับ มีความจำเป็นต้องดูแลรักษาระบบม้าม (การย่อยอาหาร) ให้ดี เพราะม้ามจะเป็นตัวสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เป็นที่สะสมความชื้น-ความร้อนที่จะทำให้พิษคั่งค้างในร่างกายได้ การขับความร้อนชื้นจำเป็นต้องทำให้มีการเสริมม้ามควบคู่กับการขับพิษ ขับความชื้น รวมทั้งระบายของเสียอุจจาระ ปัสสาวะให้พอเหมาะกัน นอกจากนี้ ยังต้องใช้การควบคุมอารมณ์ ทำจิตใจให้เบิกบาน ฝึกจิตสมาธิ เสริมภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ เพื่อไม่ให้ทำลายตับ (ลดสารพิษจากการแปรปรวนทางอารมณ์ที่ไปทำให้ตับทำงานหนักขึ้น หรือทำลายตับ) ถ้าหากมีการอุดกั้นของพลัง ทำให้เกิดอาการปวดเสียดแน่น (เพราะพลังเคลื่อนไหวไม่สะดวก) หรือมีเลือดคั่งค้าง ก็ต้องมีการระบายตับ ทำลายการอุดกั้น ยาระบายตับของแพทย์แผนจีน เน้นนำยาเข้าตับและทำให้ตับสามารถทำหน้าที่ขับสารพิษได้ดีขึ้น ทำให้หงุดหงิดน้อยลง ต้องระวังการใช้ยาบำรุงตับที่เกินความจำเป็น เพราะจะทำให้เกิดภาวะร้อนในร่างกายแล้ว ยังทำให้ตับทำงานหนักมากขึ้น เกิดการอักเสบและเสียหายมากขึ้น แพทย์แผนจีนจึงต้องให้การวินิจฉัยแยกแยะโรคในแต่ละราย และจัดยาให้สอดคล้องตามสิ่งตรวจพบ เมื่อภูมิคุ้มกันทางกายและจิตใจดี มีการขจัดพิษและเสริมการทำงานของตับได้ดี บางครั้งเชื้อร้ายอาจหมดจากร่างกายได้ หรือถ้ายังอยู่กับร่างกาย ก็ยากที่จะก่อโรคกับร่างกายได้ เรียกว่า อยู่ด้วยกันอย่างสันติ โดยไม่ก่อปัญหากับเรา (หมอชาวบ้าน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น